โรคซีสต์ในรังไข่ โรคนี้ร้ายแรงหรือไม่ เป็นแล้ว ต้องรักษาอย่างไร

โรคซีสต์ในรังไข่ (Ovarian Cysts) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อมีถุงน้ำหรือเนื้องอกที่ไม่เป็นมะเร็งเจริญเติบโตในรังไข่ ซีสต์ในรังไข่เป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้หญิงทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์ ซีสต์ส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตรายและสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา แต่ในบางกรณี ซีสต์อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้

  1. ประเภทของซีสต์ในรังไข่

ซีสต์ในรังไข่แบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด ได้แก่:

– ฟอลลิคูลาร์ ซีสต์ เกิดจากการที่ไข่ไม่สามารถหลุดออกจากฟอลลิคูลาร์ในระหว่างการตกไข่ ส่งผลให้เกิดการสะสมของของเหลวและเกิดซีสต์ ฟอลลิคูลาร์ซีสต์มักหายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์โดยไม่ต้องรักษา

– คอร์ปัสลูเทียม ซีสต์ เกิดขึ้นหลังจากการตกไข่ เมื่อไข่หลุดออกมา ฟอลลิคูลาร์ที่เหลือจะกลายเป็นคอร์ปัสลูเทียม หากเกิดการสะสมของเลือดหรือของเหลวในคอร์ปัสลูเทียม จะทำให้เกิดซีสต์ประเภทนี้

  1. อาการของซีสต์ในรังไข่

ซีสต์ในรังไข่ส่วนใหญ่ไม่ทำให้เกิดอาการและมักจะถูกพบโดยบังเอิญระหว่างการตรวจร่างกายประจำปีหรือการตรวจอัลตราซาวนด์ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี ซีสต์อาจทำให้เกิดอาการดังนี้:

– ปวดท้องน้อยหรือปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง

– ปวดท้องข้างเดียว

– ประจำเดือนมาไม่ปกติ เช่น มาเป็นก้อน มาเยอะกว่าปกติ หรือมาน้อยมาก

– รู้สึกท้องอืดหรือบวม

– ปัสสาวะบ่อยหรือมีอาการปัสสาวะติดขัด

 

  1. ภาวะแทรกซ้อน

ซีสต์ในรังไข่บางประเภทอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น:

– การแตกของซีสต์: หากซีสต์แตก อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง และมีเลือดออกภายในช่องท้อง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาทันที

– การบิดตัวของรังไข่ เมื่อซีสต์มีขนาดใหญ่ อาจทำให้รังไข่บิดตัว ซึ่งทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปยังรังไข่ได้ และอาจนำไปสู่การสูญเสียรังไข่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

– เนื้องอกที่เป็นมะเร็ง:แม้ว่าซีสต์ส่วนใหญ่จะไม่ใช่มะเร็ง แต่บางครั้งซีสต์อาจมีโอกาสกลายเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทองหรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งรังไข่

  1. การรักษาซีสต์ในรังไข่

การรักษาซีสต์ในรังไข่ขึ้นอยู่กับประเภท ขนาด และอาการของซีสต์ รวมถึงอายุและสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย โดยทั่วไปมีแนวทางการรักษาดังนี้:

– การเฝ้าระวัง: ในกรณีที่ซีสต์ไม่มีอาการหรือมีขนาดเล็ก แพทย์อาจแนะนำให้เฝ้าระวังและทำการตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อติดตามขนาดของซีสต์ในระยะเวลาที่กำหนด

– การใช้ยาฮอร์โมน: สำหรับซีสต์ที่เกิดจากฮอร์โมน แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อควบคุมรอบเดือนและป้องกันการเกิดซีสต์ใหม่

– การผ่าตัด: ในกรณีที่ซีสต์มีขนาดใหญ่ มีอาการเจ็บปวด หรือสงสัยว่าเป็นมะเร็ง แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดเอาซีสต์ออก ซึ่งวิธีการผ่าตัดสามารถเป็นการผ่าตัดผ่านกล้องหรือการผ่าตัดแบบเปิด ขึ้นอยู่กับลักษณะของซีสต์

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย     เครื่องช่วยฟังโรงพยาบาลรัฐ