โรคหินปูนในหูชั้นในหลุดเป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ที่อายุประมาณ 30-50 ปี แต่ส่วนคนอายุน้อย หรือวัยรุ่นก็สามารถพบได้เช่นกัน โดยเพศหญิงมักจะพบมากกว่าเพศชาย โรคนี้ไม่ได้เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิตแต่ถ้าเกิดขึ้นในขณะขับรถหรือเดินในที่สูงอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
สาเหตุของการเกิดโรคอันดับแรกมาทำความรู้จักกับหูของเราก่อน โดยหูของเราจะแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ มีหูชั้นนอก หูชั้นกลาง และหูชั้นใน โดยหูชั้นในจะมีอวัยวะในการควบคุมการทรงตัว และในนั้นจะมีหินปูนเกาะอยู่ โดยหินปูนนั้นจะเกาะอยู่เฉยๆ
และถ้าหินปูนหลุดออกมาก็จะทำให้หน้าที่ในการควบคุมการทรงตัวของเราเสียไป ทำให้เกิดการเวียนศีรษะ บ้านหมุนขึ้นมาได้ สาเหตุที่ทำให้หินปูนในหูชั้นในหลุดนั้นก็มีสาเหตุต่าง ๆ มากมาย เช่น
1.เสื่อมตามวัยเมื่ออายุมากขึ้น หินปูนที่อยู่ในหูชั้นในก็จะเสื่อมตามไปด้วย ทำให้มันหลุดออกทำให้ผู้สูงอายุเกิดอาการเวียนศีรษะได้เยอะกว่าคนที่อายุน้อย
2.เกิดอุบัติเหตุทางศีรษะ เมื่อถูกกระทบกระเทือนเข้าไปก็ทำให้หินปูนที่เกาะอยู่หลุดออกมา ซึ่งคนที่เคยมีอุบัติเหตุทางศีรษะก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เวียนศีรษะจากโรคนี้ได้มากกว่าผู้ที่ไม่เคยมีอุบัติเหตุทางศีรษะมาก่อน
3.ผู้ที่เคยติดเชื้อในหู เวลาเกิดการอักเสบในหู การติดเชื้อก็อาจจะลามไปถึงหินปูนในส่วนนี้ ทำให้หินปูนหลุดออกมาก็ทำให้เกิดการเวียนศีรษะได้
4.คนที่เคลื่อนไหวศีรษะเร็วๆ ทำซ้ำ ๆเป็นกิจวัตร เช่น การก้มๆเงยๆ เคลื่อนไหวศีรษะซ้ำ ๆทุกวัน ๆ โอกาสที่จะทำให้หินปูนชั้นในหลุดมีได้สูงเช่นกัน คนที่เป็นโรคนี้ก็จะมีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน มีความรู้สึกเหมือนว่าอยู่ในเรือมีอาการโคลงเคลง ทรงตัวลำบาก เดินไม่ตรง และอาจมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อาการอาจจะเป็นๆหายๆ อาจเป็นวัน เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนก็ได้
การรักษาโรคในหินปูนชั้นในหลุด ก็จะเริ่มต้นด้วยการทานยาก่อน แต่ถ้ารับประทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ก็จะเริ่มรักษาด้วยการกายภาพ ซึ่งอาจจะต้องปรึกษาหมอหู คอ จมูก ร่วมด้วยว่าซึ่งจะมีวิธีการกายภาพทำให้หินปูนที่กลิ้งๆอยู่ หรือที่หลุดออกมานั้นกลับเข้าที่เดิมอาการก็จะหาย และถ้ารักษาด้วยการทานยาหรือกายภาพไม่ดีขึ้นก็อาจจะต้องผ่าตัดเพื่อลดอาการเวียนศีรษะจากหินปูนที่หลุดออกมา โรคหินปูนชั้นในหลุดนั้นเมื่อหายแล้วก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
การป้องกันไม่ให้หินปูดในหูชั้นในหลุด
1.เวลานอนให้นอนหมอนสูง
2.พยายามเปลี่ยนท่าช้า ๆ ไม่ว่าจะก้มหรือจะเงย อย่าเปลี่ยนท่าเร็วหรือเคลื่อนที่ศีรษะเร็ว
3.งดออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนศีรษะเร็ว ๆ เช่น การว่ายน้ำ
4.ป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดการแทกศีรษะ เช่น เวลาขับขี่รถมอเตอร์ไซต์ก็ควรสวมหมวกนิรภัยไว้ด้วย
5.เมื่อมีอาการติดเชื้อในหูควรรีบพบแพทย์ เพื่อที่จะได้ยาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการติดเชื้อลุกลามจนทำให้เกิดการเวียนศีรษะ
ได้รับการสนับสนุนโดย เครื่องช่วยฟัง