เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบาดหนัก

ไม่พูดถึงคงจะไม่ได้เพราะปัญหาทั่วโลกตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ปัญหาของเรื่องฝุ่น PM2.5 เพียงเท่านั้น

เพราะในตอนนี้กำลังเป็นที่ฮือฮากันมากที่สุดนั้นก็คือ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ นี่เองที่กำลังเป็นข่าวกันปัจจุบัน ต้องขอเล่าก่อนว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์นี้มีที่มาอย่างไรบ้าง

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้นั้นถือกำเนิดเกิดขึ้นมาจากเมืองอู่ฮั่น ของประเทศจีน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดการว่าสาเหตุของการเกิดไวรัสตัวนี้เริ่มมาจากงู เพราะในท้องตลาดสัตว์และทะเลนั้นมีการจำหน่ายซื้อขายงูกัน และก็อาจจะเป็นค้างคาวด้วย อย่างที่ทุกคนพบจะทราบเรื่องวัฒนธรรมของประเทศจีนที่บางทีนั้นอาจจะดูแปลกตาสำหรับพวกเราคนไทยนั้นก็คือการรับประทานของแปลก

การทานของแปลกไม่พอ ยังทานของดิบอีกด้วย การที่เราทานอาหารสดโดยไม่ผ่านกระบวนการการปรุงสุกโดยผ่านความร้อน จะทำให้อาหารนั้นยังมีเชื้อโรคที่ตกค้างอยู่ นี่จึงอาจจะเป็นสาเหตุของการเกิดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ขึ้นมา ในตอนนี้เชื้อไวรัสตัวนี้นั้นได้เริ่มระบาดหนักมากยิ่งขึ้น จากที่ระบาดแค่ในเมืองอู่ฮั่น ได้เริ่มแพร่ระบาดมายังกรุงปักกิ่ง มหานครเซี่ยงไฮ้ เมืองเซินเจิ้น มาเก๊าและคาดว่าจะแพร่ระบาดในจีนเพิ่มมากขึ้น ทำให้ทางประเทศจีนนั้นปิดการเดินทางขาออก

และสั่งปิดโรงเรียน เพื่อจัดการกับปัญหานี้ ซึ่งล่าสุดได้ตรวจพบคนติดเชื้อมากเพิ่มขึ้นถึง 500 กว่าคน และผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นเป็น 25 คนแล้ว ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ได้เริ่มแพร่ระบาดไปยังประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น จากการที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้าประเทศ

ซึ่งไทยเราเองนั้นก็พบนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ติดเชื้อไวรัสตัวนี้เข้ามา  รวมถึงคนไทยเองที่ไปท่องเที่ยวประเทศจีน จากเมืองอู่ฮั่น ได้เดินทางกลับมาประเทศไทย โดยตรวจพบว่าได้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กลับมาด้วย ซึ่งปัจจุบันทำการรักษาและดูแลอยู่ภายในโรคพยาบาล มีอาการดีขึ้น

แต่ด้วยที่ร่างกายนั้นมีโรคหัวใจและความดันโลหิตเป็นแต่เดิมแล้ว อาจจะต้องเฝ้าระวังอย่างเป็นพิเศษ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญของจีนกล่าวว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์นี้สามารถติดต่อได้จากคนสู่คน อาจจะหมายถึงการสัมผัส การทานอาหารร่วมกัน การจูบ และล่าสุดมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากปักกิ่วได้เดินทางไปเมืองอู่ฮั่นเพื่อช่วย

แต่เมื่อเดินทางกลับมายังปักกิ่งพบว่าเขานั้นได้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์มาด้วยทั้งๆที่สวมหน้ากากแบบป้องกันโดยเฉพาะ จึงมีการสันนิฐานว่า เชื้อไวรัสตัวนี้ติดต่อทางตาได้เช่นเดียวกัน

 

สนับสนุนโดย  ชุดตรวจเอดส์ ซื้อที่ไหน

เครื่องฟอกอากาศซื้อรุ่นไหนดี

เครื่องฟอกอากาศซื้อรุ่นไหนดี
นิตยสารฉลาดซื้อ เปิดเผยผลของการทดลองลักษณะการทำงานของเครื่องที่ใช้สำหรับในการกรองอากาศที่มีขายในประเทศไทย พบว่าบางแบรนด์ดำเนินการได้ไม่เป็นไปตามที่โปรโมท แต่ว่ามีบางแบรนด์ที่ทำงานได้ดียิ่งไปกว่าที่กำหนดไว้ด้วย

ในตอนที่ฝุ่นละออง PM 2.5 กลับมาระบาดอย่างน่าห่วงอีกที บรรดาเครื่องที่ใช้สำหรับในการกรองอากาศก็เริ่มกลับมาเป็นที่พอใจของสามัญชนกันอีกรอบ แม้กระนั้นในบรรดาเครื่องที่ใช้สำหรับในการกรองอากาศแบรนด์ต่างๆ ในบ้านพวกเรามีขายกันอยู่ พวกเราจะมั่นใจได้เช่นไรว่ามีคุณภาพมากพอที่จะช่วยลดฝุ่นละออง PM 2.5 ในบ้านของพวกเราได้เหมือนอย่างที่คิด

คณะทำงานนิตยสารฉลาดซื้อ ได้กระทำการทดลองความสามารถรูปแบบการทำงานของเครื่องที่ใช้สำหรับในการกรองอากาศ 10 เครื่อง จาก 10 แบรนด์ที่มีขายในตลาดประเทศไทย ผลที่ตามมาบางเครื่องดำเนินงานได้ไม่ตรงกับที่เจาะจงเอาไว้ บางเครื่องปฏิบัติงานได้ดี รวมทั้งบางเครื่องดำเนินการได้ดียิ่งไปกว่าที่ประชาสัมพันธ์ไว้

อ่านกระบวนการทดลองอย่างประณีต ที่ผลของการทดลองฉบับเต็ม ที่ เว็บฉลาดซื้อ
สรุปผลการทดลองเครื่องที่ใช้สำหรับในการกรองอากาศ
จากผลของการทดลองสามารถแยกเป็นชนิดและประเภทของเครื่องฟอกอากาศ โดยพินิจพิเคราะห์จาก การเปรียบเทียบ พื้นที่ห้องที่สมควร กับ พื้นที่ห้องที่ชี้แนะตามโปรโมทหรือคู่มือแนะนำวิธีการใช้งาน ได้เป็น 5 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 เป็น เครื่องฟอกอากาศเหมาะสมกับกรุ๊ปที่ขนาดพื้นที่ห้องจากการทดลอง มีขนาดเล็กมาก (2.32 ตารางเมตร) ที่สามารถแปลผลของการทดสอบได้ว่า ไม่สามารถที่จะลดจำนวนฝุ่นผงได้ คือ แบรนด์ Clair

กลุ่มที่ 2 เครื่องฟอกอากาศซึ่งสามารถใช้ในห้องที่มี ขนาด 13.82 ตารางเมตร แม้กระนั้นไม่เป็นไปตามโปรโมทหรือคู่มือแนะนำแนวทางการใช้งาน ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Blueair

กลุ่มที่ 3 เครื่องฟอกอากาศซึ่งสามารถใช้ในห้องที่มีขนาด มากยิ่งกว่า 20 ตารางเมตร ไม่เกิน 30 ตารางเมตร แล้วก็เป็นไปตามประชาสัมพันธ์หรือคู่มือแนะนำวิธีการใช้งาน ได้แก่ แบรนด์ Hitachi, Fanslink Air D, Sharp แล้วก็ Bwell

กลุ่มที่ 4 เครื่องฟอกอากาศซึ่งสามารถใช้ได้กับห้องที่มีขนาดมากยิ่งกว่า 20 ตารางเมตร และไม่เกิน 30 ตารางเมตร แต่ว่าไม่เป็นไปตามประชาสัมพันธ์หรือคู่มือแนวทางการใช้งาน เป็นต้นว่า Hatari, Mitsuta

กลุ่มที่ 5 เครื่องฟอกอากาศซึ่งสามารถใช้ในห้องที่มีขนาด มากยิ่งกว่า 30 ตารางเมตร รวมทั้งเป็นไปตามประชาสัมพันธ์หรือคู่มือแนะนำการใช้งาน คือ Philips กับ Mi

รู้หรือไม่เครื่องช่วยฟังทำงานอย่างไร

อย่างที่ทราบกันดีว่าเครื่องช่วยฟังนั้น เป็นอุปกรณ์ที่จะสามารถช่วยให้คนที่มีปัญหาด้านการได้ยิน

ให้กลับมาได้ยินเสียงได้อีกครั้ง สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้เป็นปกติทุกอย่าง ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างจากคนอื่น โดยอุปกรณ์นี้สามารถใช้ได้ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่และคนชรา  สำหรับการทำงานของเครื่องช่วยฟังนั้น มี 2 แบบคือ

–      แบบอนาล็อก เป็นการแปลงสัญญาณคลื่นความถี่ของเสียงให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถตั้งโปรแกรมตามความต้องการของผู้ที่ใช้งานได้ ที่สำคัญราคาไม่แพง โดยการใช้เครื่องช่วยฟังแบบอนาล็อกนั้นจะต้องให้นักโสตสัมผัสวิทยา เป็นผู้วิเคราะห์อาการของผู้ป่วยก่อนหลังจากนั้น จึงสั่งให้บริษัทที่ผลิตติดตั้งโปรแกรมให้ตรงกับการใช้งานของคนป่วยแต่ละราย

–      แบบดิจิทัล เป็นการแปลงคลื่นความถี่ของเสียงให้เป็นรหัสตัวเลข  ซึ่งเครื่องช่วยฟังแบบดิจิทัลนี้จะสามารถควบคุมความดังหรือปรับระดับความดังให้เข้ากับสถานการณ์ที่ผู้ป่วยกำลังต้องการใช้งานได้

          ลักษณะการทำงานของเครื่องช่วยฟังคือ

จะเป็นการนำเสียงข้างนอกหูกลับเข้าไปด้านในหู แล้วทำการขยายเสียงให้ดังขึ้น สำหรับปัจจุบันการใช้เครื่องช่วยฟังจะเน้นใช้แบบดิจิทัล โดยจะมีไมโครโฟนแบบเล็กจิ๋วทำหน้าที่เก็บเสียงและสภาพแวดล้อม และจะมีอุปกรณ์ขนาดเล็กในการช่วยในการแปลงเสียงให้เป็นรหัสและทำการขยายเสียงให้ดังขึ้น

ซึ่งสามารถปรับระดับความดังของเสียงได้ด้วย ทั้งนี้ในอุปกรณ์เครื่องช่วยฟังจะทำงานภายใต้การใช้งานแบตเตอรี่  และสำหรับการปรับระดับความดังของเสียงนั้น แต่ละคนจะถูกปรับไม่เท่ากันเพราะจะขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของการได้ยินด้วยว่ามากน้อยแค่ไหน 

          การทำงานของเครื่องช่วยฟังนั้น หากมองภายนอกเราจะเห็นแค่อุปกรณ์ที่เอาไปเกี่ยวกับใบหู หรือสอดเข้าไปในรูหู ซึ่งจริงๆแล้วเครื่องช่วยฟังมีหลายชนิดให้เลือกใช้งานเพราะผู้ป่วยแต่ละคนจะเหมาะกับการใช้งานเครื่องช่วยฟังที่แตกต่างกันเช่น

–       สำหรับผู้ป่วยทั่วไปที่อาจยังได้ยินอยู่แต่ได้ยินเสียงเบามาก เช่น คนแก่ที่หูตึง เครื่องอันนี้จะใส่ไว้ที่หูแล้วให้เสียงแทรกผ่านเข้าไปในรูหู เรียกเครื่องช่วยชนิดนี้ว่า เครื่องฟังเสียงจากทางอากาศ

–       สำหรับคนที่มีปัญหามีน้ำหนองไหลออกมาจากหูตลอดเวลา ต้องใช้เครื่องช่วยฟังชนิดฟังผ่านหลังใบหู

–       สำหรับเครื่องช่วยฟังอันนี้จะเหมาะสำหรับคนที่หูหนวกและตาบอดด้วยเพราะจะช่วยแปลงค่าความสั่นสะเทือนให้ด้วย แต่การใช้เครื่องช่วยฟังชนิดนี้จะต้องได้รับการฝึกฝนการใช้ก่อน

–       เครื่องช่วยฟังที่จะต้องผ่าตัดแล้วฝังอุปกรณ์ไว้ที่อวัยวะภายในหู เพื่อให้สารารถได้ยินเสียงได้  เครื่องช่วยฟังอันนี้จะเหมาะกับคนที่พิการหูหนวก ที่ไม่สามารถใช้เครื่องช่วยฟังแบบธรรมดาได้        

–       อีกประเภทคือเครื่องช่วยกลบเสียงที่ดังรบกวน สำหรับผู้ป่วยที่จะได้ยินเสียงเหมือนแมลงบินในหูตลอดเวลา

ผ่าตัดทอนซิล ทางออกของผู้ป่วยทอนซิลอักเสบ

โดยทั่วไปแล้วต่อมทอนซิลอักเสบสามารถรักษาให้หายได้ และเมื่อหายแล้วควรดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้กลับมาป่วยเป็นทอนซิลอักเสบอีก เพราะหากมีอาการอักเสบมากเกินไป อาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัดทอนซิลเลยทีเดียว

ผ่าตัดทอนซิล ทางออกของผู้ป่วยทอนซิลอักเสบ

ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด คือ ผู้ป่วยที่มีอาการบ่อยดังนี้
– มีการอักเสบของต่อมทอนซิลบ่อยมากกว่า 7 ครั้ง ต่อ 1 ปี
– หรือมีอาการอักเสบเกิน 5 ครั้งต่อปี เป็นเวลาถึง 2 ปีติดต่อกัน
– มีอาการอักเสบ 3 ครั้งต่อปี 3 ปีติดต่อกัน
– คนไข้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะหลายชนิดไม่ดีขึ้น
ต่อมทอนซิลอักเสบก้อนโตอุดตันทางเดินหายใจ หรือมีก้อนโตข้างใดข้างหนึ่งผิดปกติ และสงสัยว่าอาจจะเป็นมะเร็งในต่อมทอนซิลหรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

อย่างไรก็ตามการผ่าตัดควรได้รับคำยืนยันจากแพทย์ว่ามีอาการตามข้อบ่งชี้ ดังกล่าวหรือไม่

ข้อดีของการผ่าตัดต่อมทอนซิล
– กำจัดการติดเชื้อ
– ทำให้ไม่ติดเชื้อบ่อยๆ
– ช่วยให้ผู้ป่วยที่เป็นเด็กสามารถหายใจโล่งขึ้น

นอกจากนี้การตัดทอนซิลทิ้งมักจะไม่มีข้อเสีย เพราะแพทย์ได้ระบุหรือบ่งชี้แล้วว่าสมควรตัดทิ้ง อีกทั้งต่อมทอนซิลที่ตัดทิ้งนั้นมักไม่ทำงานแล้ว ต่อมทอนซิลที่ไม่ทำงานจะไม่ฆ่าเชื้อโรคกลับกันจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค นอกจากนี้ ยังมีต่อมน้ำเหลืองในช่องคอที่ดักจับเชื้อโรคแทนอยู่จำนวนมาก ไม่ทำให้ผู้ป่วยเสียภูมิต้านทาน
ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรม ศีรษะ ลำคอ หลอดลม และกล่องเสียง ศูนย์หู คอ จมูก กล่าวถึงการผ่าตัดทอนซิลว่า “การผ่าตัดต่อมทอนซิลแบบดั้งเดิม (Traditional Tonsillectomy) คือ การใช้ไฟฟ้าจี้เพื่อเอาทอนซิลออกมา เป็นการรักษาที่ทำมาตั้งแต่แรกเริ่ม ใช้เวลานานหรือไม่ขึ้นอยู่กับแพทย์ว่ามีความเชี่ยวชาญขนาด การผ่าตัดใช้เวลาผ่าตัดมาก ตั้งแต่ 30 นาที – 2 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับขนาดก้อนทอนซิล) หากก้อนทอนซิลขนาดใหญ่อาจจะต้องมีการเย็บด้วยไหมเย็บซึ่งจะทำให้ระคายคอและใช้เวลาพักฟื้นนาน

ผู้ป่วยเบาหวานทานของหวานได้หรือไม่?

คำว่าโรคเบาหวาน ถ้าคิดเล่นๆ คือ ต้องลดอะไรที่มันหวานๆ ลง เพื่อเบาควาหวานในเลือดลง ซึ่งมันก็ใกล้เคียงกับความหมายของโรคอยู่นะ เพราะโรคเบาหวานเป็นภาวะที่กระแสเลือดมีน้ำตาลสูงกว่าปกติ เพราะขาดฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้กระบวนการดูดซึมน้ำตาลในเลือดทำงานผิดปกติ จึงเกิดการสะสมน้ำตาลในเลือดในปริมาณมาก จนกลายเป็นเบาหวานนั่นเอง และหากไม่รีบรักษาปล่อยนานเข้า จะทำให้อวัยวะต่างๆ เสื่อมจนก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนมากมาย

ผู้ป่วยเบาหวานทานของหวานได้หรือไม่?
จริงๆ แล้ว ผู้ป่วยเบาหวานควรงดหรือหลีกเลี่ยงการทานอะไรหวานๆ เช่น โดนัท ชานม หรือแม้กระทั่งผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง เพราะผู้ป่วยเบาหวานนั้นมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้วหากยิ่งทานของหวานเข้าไปอีกก็จะทำให้อาการแย่ลง คนส่วนใหญ่จึงคิดว่าควรงดอาหารที่มีความหวาน หรือมีน้ำตาล แต่ทั้งนี้ ควรจะเน้นรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบสัดส่วนตามความเหมาะสม

ในความเป็นจริงไม่ใช่ว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องห้าม! ของหวานเลย เพราะคงมีกลุ่มคนที่ติดของหวานมากโดยเฉพาะสาวๆ ที่ถ้าไม่ทานของหวานจะนอนไม่หลับกันเลยทีเดียว ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานจึงสามารถทานของหวานได้แต่ทานได้ในปริมาณที่พอดี รู้ลิมิตในการกิน หรือเมื่อทำอาหารเครื่องดื่มอาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความหวานแทนน้ำตาล เช่น น้ำตาลเทียม หรือ สารแทนความหวาน ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และคนที่ติดหวานแต่อยากงดน้ำตาล นำมาใช้ในการปรุงอาหาร ทำขนม ใส่ในเครื่องดื่มต่าง ๆ แทนได้เหมือนกัน

ผู้ป่วยเบาหวานสามารถปรุงอาหาร หรือเครื่องดื่มให้มีรสหวานได้ แบบไม่ต้องบอกลารสหวานหรือต้องอดของหวานให้ทรมาน เช่น ปกติเวลาชงกาแฟเราจะใช้น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา ก็อาจจะใช้สารแทนความหวาน 1/2 ช้อนชา แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรมองข้าม คือการดูแลสุขภาพตัวเอง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติและมีความสุขเหมือนคนทั่วไปได้แล้ว

กินอาหารเสริมบำรุงตับช่วยบำรุงตับให้ดีขึ้นจริงหรือเปล่า

ล้างพิษตับ

ตับของเรานั้นนับว่าเป็นอวัยวะที่เหนื่อยที่สุดของร่างกายของเราเลยก็ว่าได้ เป็นศูนย์กลายการทำงานของร่างกายเนื่องจากมันจะคอยรับสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย เก็บรักษา กรองสารพิษและขยะของเสีย เป็นทางผ่านเพื่อส่งต่อแจกจ่ายให้กับอวัยวะอื่นๆ และที่สำคัญที่สุดคือมันทำงานตลอดเวลา 24 ชั่วโมงโดยไม่มีการหยุดพัก เรียกได้ว่าเป็นอวัยวะสำคัญที่ร่างกายของมนุษย์นั้นไม่สามารถขาดได้กันเลยทีเดียว ดังนั้น ตับก็ต้องมีการซ่อมบำรุงกันบ้าง และแน่นอนวิธีที่ดีที่สุดก็คือหา อาหารเสริมบำรุงตับ  มาบำรุงหรืออีกวิธีหนึ่งนั้นก็คือ การล้างสารพิษ หรือเรียกว่าการดีท็อกซ์ตับนั่นเอง ซึ่งวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ช่วยยืดอายุการทำงานของตับได้ เรามาดูกันดีกว่าว่าการดีท็อกซ์ตับนั้นทำอย่างไรได้บ้าง

  1. การฟอกเลือด วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ป่วยระยะเรื้อรังแล้วเท่านั้น เนื่องจากต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น ซึ่งหากไม่ได้รับการฟอกเลือดที่ถูกวิธี จากที่ต้องการดีท็อกซ์ตับ อาจทำให้ร่างกายของเรานั้นเกิดการต่อต้านและทำให้เสียชีวิตได้
  2. การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นไปที่พืชผักสมุนไพรที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงตับเป็นหลัก เช่น กระเทียม หัวหอม ดอกกะหล่ำปลี และพืชผักใบเขียว และรับประทานผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผลไม้ตระกูลเบอรี่ ฝรั่ง กีวี และพรุน จะช่วยให้ตับนั้นมีสารมาต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยขับสารพิษในร่างกายอีกแรง
  3. เสริมร่างกายด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่นวิตามินบี วิตามินซี และเลซิติน ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้จะทำให้ตับของเรานั้นทำงานได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ควรทำอันใดอันหนึ่งมากเกินไป ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความบาลานซ์ทั้งสิ้น หากมีอาการแพ้ หรือมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย เช่น เป็นผื่น เป็นลมพิษ ท้องผูก หรืออื่นๆ ควรจะหยุดทันที และรีบปรึกษาแพทย์ให้เร็วที่สุด และจะให้ดีไม่ควรไปผูกติดกับอาหารเสริมแบบแคปซูล ซึ่งจะทำให้ร่างกายนั้นเกิดสารเคมีสะสมขึ้น และทำให้ตับของเรานั้นทำงานหนักกว่าเดิม

เครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล ไม่อ้วนจริงหรอ

“เครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล” เสี่ยง “อ้วน” มากกว่าเดิม แนะเลี่ยงเครื่องดื่มน้ำตาลสูง สั่งหวานน้อย ดื่มในปริมาณน้อย และออกกำลังกายเป็นประจำ

หน้าร้อน เสี่ยงอ้วนง่าย จากเครื่องดื่มนานาชนิด
แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ช่วงนี้อากาศร้อนขึ้นทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เลือกดื่มน้ำหวานและน้ำอัดลมเพื่อดับกระหาย ซึ่งในน้ำอัดลม จะมีส่วนประกอบ คือ น้ำ น้ำตาล สารปรุงสี กลิ่นสังเคราะห์และกรดฟอสฟอริก ทำให้น้ำอัดลมมีฟอง มีรสซ่า และมีคาเฟอีนเพิ่มความตื่นตัวให้กับร่างกาย ลดอาการอ่อนเพลีย หากดื่มน้ำหวาน และน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลอยู่สูง ในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้ร่างกายเผาผลาญและนำไปใช้ได้ไม่หมด เป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้อ้วน

นอกจากนี้น้ำตาลในเครื่องดื่มเหล่านี้ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินออกมามากเกินไป ส่งผลให้ในระยะยาวร่างกายจะผลิตอินซูลินน้อยลงหรือด้อยประสิทธิภาพ จนทำให้เกิดโรคเบาหวานและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังตามมา

เครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล น้ำตาล 0% หรือ Sugar Free อาจเสี่ยงอ้วนกว่าเดิม
เครื่องดื่มต่างๆ รวมถึงน้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาลจะมีส่วนประกอบเหมือนน้ำอัดลมสูตรปกติ แต่จะใช้สารให้ความหวานหรือน้ำตาลเทียมทดแทนลงไป ซึ่งสารประเภทนี้ให้รสหวานแต่ไม่ให้พลังงาน สารให้ความหวานเหล่านี้จะกระตุ้นกลไกการทำงานของสมองให้รับรู้ถึงความหวาน ส่งผลให้ร่างกายโหยหาน้ำตาล มากขึ้น เกิดการติดรสหวาน ต้องการกินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มรสหวานบ่อยขึ้น ร่างกายหิวง่ายขึ้นและกินมากกว่าปกติ 30% ซึ่งจะเป็นการกินไปแบบไม่รู้ตัว

ดร.แพทย์หญิงสายพิณ โชติวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กล่าวเสริมว่า เมื่อดื่มน้ำอัดลมสูตรที่ใส่น้ำตาลเทียม ร่วมกับอาหาร จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือดขึ้นสูงกว่าการกินอาหารกับน้ำเปล่า แม้น้ำตาลเทียมจะไม่ใช่น้ำตาลแต่ก็กระตุ้นการตอบสนองของอินซูลินในร่างกาย อีกทั้งการใช้น้ำตาลเทียมนั้น ยังทำหน้าที่หลอกลิ้นว่าหวาน แต่สมองที่ต้องการน้ำตาลจริงไม่ได้รับความหวานตามที่ต้องการ ก็เกิดการกระตุ้นทำให้อยากกินน้ำตาลมากๆ เพื่อให้หายอยากในภายหลังซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อ้วน

นอกจากนี้ แม้น้ำอัดลมจะมีสูตรไม่มีน้ำตาล โดยใส่น้ำตาลเทียมทดแทนลงไป แต่สิ่งที่ยังมีอยู่ในน้ำอัดลมคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ทำให้ท้องอืด จุกเสียดได้

ดังนั้น หากหน้าร้อนนี้อยากดับกระหายด้วยเครื่องดื่มเย็นๆ จึงควรเลือกดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานให้น้อยลง หรือสั่งหวานน้อยเป็นประจำให้ติดเป็นนิสัย เพื่อสร้างความเคยชินในการรับรสของตนเอง และกลายเป็นคนไม่ติดหวาน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาน้ำตาลเทียม หรือสารให้ความหวานทดแทน เลือกดื่มไม่เกิน 1-2 แก้วต่อวัน นอกจากนี้การออกกำลังกายเป็นประจำ ก็จะช่วยลดเสี่ยงโรคอ้วนได้ในระยะยาวอีกด้วย

โรคยอดฮิตของคนไทย

รู้ทัน 5 โรคยอดฮิตของคนไทยที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากเป็น
ทุกวันนี้คนไทยหลายคนมีโรครุมเร้ามากมายอันเนื่องมาจากการใช้ชีวิตประจำวันที่เอื้อให้เกิดความเครียด จนหลาย ๆ คนกลายเป็นโรคซึมเศร้าโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งวิถีชีวิตที่มีความเร่งรีบตลอดเวลา จนทำให้ไม่มีเวลาออกกำลังกายและดูแลรักษาสุขภาพ ในทุก ๆ ปีกระทรวงสาธารณสุขจะออกมาประกาศโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่พบมากที่สุดในคนไทย 5 อันดับ ซึ่งแน่นอนว่าอันดับหนึ่งที่ครองแชมป์ติดต่อกันมายาวนานหลายปีซ้อน ได้แก่ โรคมะเร็ง

โรคมะเร็ง
โรคมะเร็งเป็นโรคยอดฮิตที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับหนึ่งมายาวนาน โดยกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยข้อมูลอันน่าตกใจว่า โดยเฉลี่ยในทุก ๆ ชั่วโมง จะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งถึง 6 คน แม้ว่าในปัจจุบันวิวัฒนาการเครื่องมือแพทย์และยารักษาโรคจะพัฒนาก้าวหน้าไปมาก แต่คนส่วนใหญ่มักละเลยอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แสดงถึงความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง แล้วจึงมาพบแพทย์เมื่อมะเร็งอยู่ในขั้นลุกลามและยากต่อการรักษา โดยมะเร็งที่พบมากที่สุดในชายไทย ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ส่วนมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิง ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม และมะเร็งตับ วิธีป้องกันโรคมะเร็งที่ง่ายที่สุดคือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและหลีกเลี่ยงตัวการที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง อาทิ การสูบบุหรี่ การกินอาหารปิ้งย่างบ่อย ๆ และหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เพื่อปรึกษาแพทย์ได้อย่างทันท่วงที

โรคเบาหวาน
โรคยอดฮิตของคนไทย รองลงมาจากโรคมะเร็ง โรคเบาหวานมีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายสร้างฮอร์โมนอินซูลินมากเกินไป จนทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ร่างกายจึงไม่สามารถใช้พลังงานจากน้ำตาลได้อย่างเหมาะสม และตับอ่อนทำงานผิดปกติ จึงทำให้มีระดับน้ำตาลคงเหลืออยู่ในกระแสเลือดสูงนั่นเอง ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจะมีอาการเริ่มต้น คือ ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ดื่มน้ำเยอะ เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทรายสาเหตุ เป็นแผลง่าย เมื่อเป็นแล้วหายยยากหรือมักติดเชื้อ อักเสบ และลุกลาม ผู้ที่มีอาการดังกล่าวนี้ควรหมั่นเช็กความผิดปกติของร่างกายและพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ ส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง ชอบทานอาหารหวานหรืออาหารที่มีไขมันสูง และไม่ออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นผู้ที่มีภาวะเสี่ยงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารและหมั่นออกกำลัง ควบคุมน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอ

โรคความดันโลหิตสูง
ปกติคนธรรมดาจะมีความดันเฉลี่ยอยู่ที่ 90-119/60-79 มิลลิเมตร/ปรอท ส่วนผู้ที่อยู่ในภาวะความดันโลหิตสูง จะมีความดันสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตร/ปรอท โรคความดันโลหิตสูงเป็นบ่อเกิดของโรคหลอดเลือดในสมอง โรคหัวใจ โรคไต ฯลฯ เนื่องจากเมื่อมีความดันโลหิตสูง หลอดเลือดจะแข็งและตีบ ส่งผลให้เกิดปัญหาเมื่อหัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สาเหตุที่ก่อให้เกิดความดันโลหิตสูงมีทั้งชนิดทราบและไม่ทราบสาเหตุ อาทิ พันธุกรรม การทำงานที่ผิดปกติของฮอร์โมน โรคอ้วน เนื้องอกในสมอง และโรคเครียด สาเหตุหลักที่พบมากในปัจจุบัน อาการระยะเริ่มต้นของโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ อาการวิงเวียนศีรษะ เจ็บหน้าอก ใจสั่น ปวดศีรษะติดต่อกันหลายวันโดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้ที่มีอาการควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาด้วยยา ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน และพยายามไม่เครียด เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนที่ตามมาจากโรคความดันโลหิตสูง

โรคหัวใจ
คำว่าโรคหัวใจนั้นมีความหมายค่อนข้างกว้าง เนื่องจากหหัวใจเป็นอวัยวะที่มีความซับซ้อนและมีส่วนประกอบที่หลากหลาย อาทิ เยื่อหุ้มหัวใจ หลอดเลือด และกล้ามเนื้อหัวใจ เป็นต้น โดยอาการที่พบมากในคนไทย ได้แก่ โรคหัวใจขาดเลือด อันเนื่องมาจากสาเหตุต่าง ๆ อาทิ หลอดเลือดแดงตีบและไขมันอุดตันในเส้นเลือด ผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีอาการน่าเป็นห่วงและควรไปพบแพทย์โดยด่วน ได้แก่ ผู้ที่มีอาการแน่นหน้าอก อึดอัด ขณะออกกำลังกาย เดินเร็ว ขึ้นบันได เมื่อออกแรงทำกิจกรรมต่าง ๆ จะมีอาการเหนื่อยง่าย หอบ หายใจเร็ว ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการหน้ามืดและหมดสติ

โรคหลอดเลือดสมอง
คือการที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องจากหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก เนื้อเยื่อสมองจึงถูกทำลาย ส่งผลให้การทำงานของสมองหยุดชะงัก สาเหตุที่พบมากที่สุดที่ก่อให้เกิดภาะวะสมองขาดเลือด ได้แก่ การเกิดลิ่มเลือดไหลไปอุดตันหลอดเลือดสมอง หรืออาจเกิดลิ่มเลือดในสมองแล้วมีขนาดใหญ่ขึ้นจนอุดตันหลอดเลือด อีกสาเหตุหนึ่งเกิดจากไขมันสะสมในเส้นเลือด ซึ่งทำให้เส้นเลือดตีบจึงทำให้ประสิทธิภาพในการลำเลียงเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง

ส่วนโรคหลอดเลือดสมองแตกนั้นส่วนมากพบในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หลอดเลือดเมื่อเจอความดันจึงโป่งพองแล้วแตกออก ทำให้เลือดออกในสมอง ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ การป้องกันเบื้องต้นคือหมั่นตรวจเช็กอาการและพบแพทย์เป็นประจำ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด รักษาระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันอาการของโรคหลอดเลือดในสมองเบื้องต้นได้

ปัจจุบันกระแสรักสุขภาพที่กำลังมาแรงมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคภัยต่าง ๆ มากมาย ทั้งการออกกำลังกายที่หลากหลายขึ้น เมนูอาหารคลีนที่ปราศจากไขมันและน้ำตาล คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ ความเข้าใจในปัจจัยเสี่ยงของโรคมากขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยีและวิวัฒนาการในการรักษาโรคที่มีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญในการหลีกเลี่ยงโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ รวมทั้งโรคยอดฮิตทั้ง 5 ประเภทนี้ก็คือ การหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รักษาสุขภาพด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่างหรือของหมักดอง ลด ละ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ ทำจิตใจปลอดโปร่งและไม่เกิดความเครียดสะสม ที่สำคัญคือการหมั่นตรวจเช็กอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย อาทิ ก้อนเนื้อ, อาการเจ็บป่วยเรื้อรังหรืออาการป่วยฉับพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ แล้วพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

งีบระหว่างวันอย่างไรให้รู้สึกสดชื่น

หลายคนคงรู้สึกง่วงไม่ว่าก่อนหน้าจะไปทำกิจกรรมอะไรมา และก็ไม่สามารถนอนได้เพียงแค่อยากงีบหลับนิดหน่อย แต่รู้ไหมแค่การหลับในเวลานิดหน่อยก็ช่วยให้สุขภาพ ดีได้

เราคงได้ยินกันบ่อยๆเรื่องการเปิดให้ตัวเองงีบหลับระหว่างวันอยู่บ้าง…การหลับมีประโยชน์ต่อสุขภาพ กายและใจ แต่ก็มีศิลปะของการงีบหลับไว้ด้วย ตามห้วงเวลาตั้งแต่ 10-90 นาที แต่ละระดับเป็นอย่างไร “ประชาชาติออนไลน์” พามาดูกัน

♥10-20 นาที มีการศึกษาว่า การงีบหลับระดับนี้เป็นการเพิ่มความตื่นตัวและเพิ่มพลัง ซึ่งช่วงเวลาไม่มากแบบนี้ ส่งผลให้ช่วงนอนงีบหลับระยะขนาดนี้เป็นการนอนหลับขั้นธรรมดา หรือไม่ทันได้ฝัน และเป็นจังหวะการงีบที่ถูกปลุกให้ตื่นได้ง่าย

♥30 นาที การหลับที่ยาวขึ้นมาอีกนิดนี้มีการวิจัยว่าเป็นการหลับที่อาจส่งผลให้ตื่นมาเฉื่อยๆมีอาการมึนงงหลังการตื่นก่อนที่จะค่อยๆกลับมามีอาการปกติ

♥60 นาที การหลับเวลาขนาดนี้ถูกระบุว่าช่วยปรับสภาพร่างกาย เป็นการหลับที่มีผลต่อการส่งคลื่นสั้นๆต่อสมอง

♥90 นาที วงจรการหลับครบ หลับลึกและหลับในระดับฝัน นำไปสู่การปรับภาวะอารมณ์และกระบวนการความทรงจำ ความคิดสร้างสรรค์ จะไม่เกิดภาวะหลับแล้วตื่นมาเฉื่อยชา ตื่นได้ง่าย

ทานมื้อเย็นได้ แบบไม่ห่วงอ้วน

มื้อเย็น เป็นมื้ออาหารที่หลายคนมักจะหลีกเลี่ยงกินในช่วงที่ลดน้ำหนัก แต่จริงๆ แล้วการกินอาหารมื้อเย็นนั้นก็สามารถช่วยทำให้คุณผอมได้ แต่จำเป็นต้องกินอย่างเหมาะสม โดยวันนี้เราก็มีเคล็ดลับการกินอาหารมื้อเย็นแบบไม่ให้อ้วนมาฝากกัน เพื่อให้คุณยังสามารถกินมื้อเย็นได้ตามที่ใจต้องการ โดยไม่ต้องอดอาหารให้ต้องหิวอีกต่อไป ตามไปดูกันเลย

1. หลังกินอาหารเย็น ไม่ควรอาบน้ำ

เมื่อกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว ไม่ควรอาบน้ำทันที ควรปล่อยให้กระเพาะอาหารทำการย่อยอาหารที่กินเข้าไปให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะถ้าหากคุณอาบน้ำทันทีหลังกินอาหารเย็น ก็จะทำให้กระเพาะอาหารทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีอาการท้องอืด จุก แน่น ดังนั้นควรพักหลังกินอาหารเย็นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ก่อนอาบน้ำ จะดีต่อกระเพาะอาหารมากที่สุด

2. หลีกเลี่ยงการกินไขมันหรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง

เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมันหรือมีปริมาณน้ำตาลสูง เพราะจะทำให้เกิดการสะสมของไขมันภายในร่างกายได้สูงมากขึ้น โดยอาหารที่เหมาะสำหรับการกินในช่วงเย็น ควรเน้นเป็นอาหารที่สามารถย่อยง่าย มีส่วนประกอบของผัก ผลไม้ที่มีกากใยสูง จะส่งผลดีต่อการลดความอ้วนได้มากขึ้น

3. กินในปริมาณที่เหมาะสม

การอดมื้อเย็นนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับการลดน้ำหนัก เพราะยิ่งคุณอดอาหารมื้อเย็นมากเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่คุณจะหิวในช่วงกลางดึกได้มากขึ้นเท่านั้น และถ้าหากไม่กินมื้อเย็นเลย ร่างกายก็จะหลั่งน้ำย่อยออกมากัดกระเพาะอาหาร เป็นเหตุให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบตามมา ดังนั้นควรเลือกกินมื้อเย็นในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้กระเพาะอาหารทำงานได้อย่างเป็นปกติ และเพื่อไม่ให้คุณรู้สึกหิวกลางดึก

4. ดื่มน้ำเปล่าก่อนกินอาหารเย็น

การดื่มน้ำเปล่าก่อนกินอาหารเย็นประมาณ 2-4 แก้ว จะช่วยถ่วงเวลาของกระเพาะอาหารให้รู้สึกอิ่มได้เร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณสามารถกินอาหารมื้อเย็นได้น้อยลง แต่ก็ยังรู้สึกอิ่มท้องเช่นเดียวกับการกินอาหารในปริมาณมากๆ

จริงๆ แล้วอาหารมื้อเย็นถือเป็นมื้อสำคัญของวันที่ผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก ลดความอ้วนไม่ควรหลีกเลี่ยง แต่จำเป็นต้องกินในปริมาณที่เหมาะสม และควรเลือกกินแต่อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และเป็นผลดีต่อการลดน้ำหนัก เพราะไม่เช่นนั้นร่างกายของคุณอาจจะส่งสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติบางอย่างได้ หากคุณอดมื้อเย็นติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือถ้ากินอาหารมื้อเย็นมากเกินไป ก็จะทำให้การลดพุง ลดน้ำหนัก ไม่เกิดผลลัพธ์ตามเป้าที่วางเอาไว้ได้เช่นกัน